กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นเป็นอีกหนึ่งในวิธียอดฮิตที่เกิอบจะทุกธุรกิจนั้นเลือกใช้งาน ด้วยข้อดีในเรื่องของ ความสะดวก การจัด กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ มาเตรียมไว้ให้พร้อมแล้วนั้นจะช่วยเพิ่มความสะดวกทั้งต่อลูกค้า และ ตัวคนขายมากขึ้น เต่ว่าแน่นอนว่าไม่ใช่ว่ากิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นจะเหมาะสมกับทุกธุรกิจนะครับ เพราะว่ายังมีอีกหลากหลายกิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่เรานั้นไม่ควรที่จะ ให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน มาลองดูกันว่า กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ แบบไหนที่เรานั้นไม่ควรที่จะส่งให้ถึงมือให้ถึงลูกค้า  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ประเภทของกิน  

หนึ่งในความผิดพลาดที่หลากหลายคนนั้นคิดไม่ถึงเลยนั้นคือการเลือกมองหา Gift Set ที่เป็นของกิน ซึ่งอย่าลืมว่า Gift Set ประเภทนี้นั้นไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน และ อย่าลืมว่าเราจะต้องสั่งมาใช้งานด้วยเช่นกัน ดังนั้น กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ประเภทนี้นั้นเมื่อถึงของลูกค้านั้นอาจจะทำให้ใกล้หมดอายุ หรือ อาจจะทำให้ไม่ได้กิน เพราะว่าสินค้าหมดอายุก่อนก็ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ของกินนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับเราก็ได้  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ประเภทใช้งานจริงไม่ได้  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ประเภทนี้นั้นเป็นอีกหนึ่งในกิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่ค่อนข้างจะต้องระมัดระวังในการใช้งานนอย่างมาก เพราะว่าลูกค้าทุกคนนั้นถ้าหากว่าได้ กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นก็อยากได้กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่อยากได้ใช้งานได้จริง ดังนั้นหากว่านำกิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่ไม่สามารถใช้งานได้จริงมาใช้นั้นอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจ และ มีโอกาสที่สูงอย่างมากที่ลูกค้านั้นจะไม่กลับมาใช้บริการเราอีกดังนั้นการเลือก กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นควรเลือกแบบใช้งานได้จริงมาจะดีกว่านะครับ  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่ไม่ใช้เทคโนโลยีมากเกินไป 

บางครั้งนั้นลูกค้าของเรานั้นอาจจะเป้นผู้สูงอายุ ดังนั้นกิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่มีควรมไอทีมากเกินไป นั้นอาจจะทำให้ลูกค้านั้นไม่สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งบางทีต่อให้เรานั้นสอนการใช้งานเบื้องต้นไปแล้ว ผู้สูงอายุก็อาจจะลืมได้ดอยู่ดี ดังนั้นกิ๊ฟเซ็ทของขวัญที่มีการใช้ความล้ำหน้าของยุคสมัย หรือ มีความไฮเทค นั้นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าที่ควร  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ที่มีจำนวนที่น้อยเกินไป  

กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นแน่นอนว่าจะต้องใสกล่องมาอย่างแน่นอน และ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยนั้นคือ “จำนวน” เพราะว่าถ้าหากว่าจำนวนนั้นน้อยเกินไปนั้นอาจจะทำให้ ลูกค้าเกิดความไม่พอใจ และ ไม่กลับมาใช้บริการเราอีกต่อไป ดังนั้นเรื่องของจำนวนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งในเรื่องที่สำคัญอย่างมากด้วยเช่นกันที่เรานั้นไม่ควรที่จะมองข้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้พูดกันแบบปากต่อปาก และ อาจจะสร้างความเสียหายของธุรกิจของเราได้ด้วยเช่นกัน  

ดังนั้นจะเห็นว่าในเรื่องของการเลือกมองหากิ๊ฟเซ็ทของขวัญ นั้นเราสามารถเลือกหลากหลายได้จริง แต่ว่าเรานั้นก็จะต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะว่าบาง กิ๊ฟเซ็ทของขวัญ ก็อาจจะไม่ตรงกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราดังนั้นเราควรที่จะ ลองสำรวจฐานลูกค้าของเราให้ดีก่อน และ เริ่มมองหากิ๊ฟเซ็ทของขวัญที่เหมาะสมกับลูกค้าของเรา เพียงเท่านี้เราก็สามารถมัดใจลูกค้าได้ และ เรานั้นก็สามารถที่จะเพิ่มฐานลูกค้าของเราได้อย่างแน่นอน  

 คนไทยอย่างเราคงเข้าใจสภาพอากาศประเทศไทยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะแดดที่ร้อนจ้า หรือจะอากาศอบอ้าวที่แสนเหนอะหนะ การที่มีพื้นที่อากาศเย็นสบายถือเป็นเรื่องที่ใครหลายคนต้องการ บางคนถึงขั้นหาไอเทมตัวช่วย อย่างเช่นแอร์เคลื่อนที่ ที่ไม่ว่าคุณจะนั่งส่วนไหนของบ้าน ก็สามารถย้ายที่แอร์เคลื่อนที่ได้สบาย ไปไหนอยู่ที่ไหนของบ้านก็สามารถเย็นได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีเทคนิคการเลือกแอร์เคลื่อนที่มาฝาก อย่ารอช้าไปดูกันเลย 

4 วิธีเลือกซื้อแอร์เคลื่อนที่ ได้ของตามที่ต้องการชัวร์!

1. ขนาดของแอร์เคลื่อนที่

อย่างแรกที่คุณต้องเลือกก่อนตัดสินใจซื้อแอร์เคลื่อนที่ ก็คือ ขนาดของแอร์ที่เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งานมากที่สุด โดยให้คุณสำรวจและดูพื้นที่ส่วนใหญ่ที่คุณจะนำแอร์เคลื่อนที่ไปวาง หรือพื้นที่ที่ใช้งานบ่อยๆ เมื่อดูพื้นที่แล้วคุณก็สามารถตัดสินใจได้ว่าขนาดของแอร์จะอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะถ้าซื้อขนาดใหญ่ไปหรือขนาดเล็กไป ก็อาจทำให้ไม่สมประกอบ ไม่เข้ากับพื้นที่บ้านของเรา เนื่องจากแอร์เคลื่อนที่จะต้องตั้งใช้งานบนพื้น ซึ่งจะต่างจากแอร์ทั่วไปที่ติดตรงผนังเลยไม่ทำให้รู้สึกเกะกะ 

2. ความสะดวกในการเคลื่อนที่

เนื่องจากข้อดีของแอร์ตัวนี้คือสามารถเคลื่อนที่ไปไว้ที่ไหนในบ้านก็ได้ ดังนั้นในการเลือกซื้อก็แนะนำให้เลือกว่าแอร์รุ่นนี้สามารถเคลื่อนที่ได้สะดวกหรือไม่ เคลื่อนที่ง่ายไม่ยุ่งยาก เช่น มีล้อเลื่อนที่เคลื่อนที่ง่าย และมีรูปทรงที่เอื้อต่อการเคลื่อนย้าย หรือมีฟังก์ชั่นการเคลื่อนย้ายที่สะดวก อย่างเช่น มีที่จับสำหรับการเคลื่อนย้าย เป็นต้น

3. ขนาดของตัว BTU

BTU หรือ British Thermal Unit คือหน่วยวัดค่าพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล แต่ถ้าเป็นค่า BTU ที่มาใช้งานกับแอร์ นั่นหมายถึงความสามารถในการทำความเย็นถ่ายเทความร้อนออกจากห้องถายในเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งถ้าให้คำนวณก็คือ
ความร้อน 1 BTU = ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ มีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ 

ดังนั้นวิธีเลือกขนาดของ BTU สำหรับแอร์เคลื่อนที่ จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของแอร์และพื้นที่ในห้อง ซึ่งถ้าคุณเลือกได้สัมพันธ์กันจะช่วยให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังทำให้แอร์ไม่ทำงานหนัก และช่วยประหยัดค่าไฟอีกด้วย เพราะฉะนั้นก่อนเลือกซื้อแอร์เคลื่อนที่อย่าลืมดูค่า BTU ด้วย 

4. ระบบการทำงานที่ช่วยประหยัดไฟ

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญของการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด รวมถึงแอร์เคลื่อนที่ด้วย นั่นก็คือ ระบบการทำงานที่ช่วยประหยัดค่าไฟ โดยแนะนำให้เลือกซื้อแอร์ที่มีฉลากเบอร์ 5 ยิ่งถ้าแอร์ตัวนี้มีระบบ Inverter ที่ช่วยประหยัดไฟก็จะดีมาก ทั้งนี้แนะนำให้ลองเปรียบเทียบแอร์ที่คุณเล็งอยู่ แล้วก็ดูค่าว่าประหยัดไฟหรือไม่ 

การเลือกซื้อของเล่นให้กับลูกน้อย เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เหมือนกับการส่งลูก้ขาโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็ก ด้วยการเรียนรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่การจะเลือกซื้อของเล่นอะไรก็ตาม ให้กับลูกน้อยของเรา จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย เพราะเด็กแต่ละช่วงอายุ จะมีพัฒนาการที่ไม่เหมือนกัน ความเข้าใจและการคิดแตกต่างกัน

ฉะนั้นของเล่นจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต่อเมื่อของเล่นนั้นเหมาะสมกับลูกน้อยที่สุดนั่นเอง และเดี๋ยวนี้ก็มีช่องทางให้เราเลือกซื้อของเล่นเด็ก จากร้านขายของเล่นเด็ก ได้หลายช่องาง เช่นการซื้อตามร้านทั่วไป หรือแม้แต่การซื้อผ่านทางช่องทางออนไลน์ แต่ก่อนที่จะไปเลือกซื้อของเล่อะไรก็ตาม จะต้องงเข้าใจหลักในการเลือก สำหรับพิจารณาร้านของเล่นด้วย

-เป็นร้านที่มี มอก. เรื่องของมาตรฐานเป็นสิ่งที่เราต้องดูทุกครั้ง หากจะซื้อของเล่นจากร้านขายของเล่นเด็ก ให้กับลูกข้องเรา เพราะสิ่งที่ต้องเน้นเป็นอันดับแรกเลยก็คือ ความปลอดภัย ของเล่นที่เลือกซื้อจึงต้องมีมาตรฐานทุกชั้น เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย เนื่องจากเด็กๆ มักจะเอาของเล่นเข้าไปในปากด้วย ถ้ามีอะไรปนเปื้อนมากับของเล่นพวกนั้น ก็ต้องเป็นภาระที่ยากลำบากสำหรับเด็กอีก

-มีให้เลือกหลายอย่าง ร้านขายของเล่นเด็ก ที่มีตัวเลือกเยอะๆ จะช่วยให้เราเลือกชนิดของของเล่น ที่ถูกใจลูกได้ และต้องมีความหลากหลายของช่วงอายุ ให้เด็กแต่ละวัยได้ใช้เล่นอย่างถูกใจ ไม่ควรจะเลือกของเล่นอะไรที่มันดูแล้วเรียบเกินไป เพราะของเล่นจะต้องมีเรื่องของความสนุกจขากการเล่นเข้ามาด้วย จจึงจะช่วยให้เด็กจดจ่ออยู่กับของเล่นเหล่านั้น ได้นานมากขึ้น

-ร้านมีชื่อเสียง ทั้งการเลือกซื้อทางออนไลน์ และการเลือกซื้อตามหน้าร้าน จ้ะตองเลือกร้านขายของเล่นที่มีชื่อเสียง หรือร้านที่ได้รับความนิยมเท่านั้น เพราะมันเป็นการการันตีว่า ร้านนี้มีคุณภาพจริง ขายของดีจริง หากเร้านไหนที่เราดูลักษณะแล้วไม่นานไว้ใจ หรือร้านขายของเล่นเด็ก ไม่น่าจะมีมาตรฐานปลอดภัย สำหรับลูกน้อยของเรามากพอ ก็แนะนำว่าให้เลือกร้านอื่นจะดีที่สุด

-ให้คำแนะนำที่ดี ร้านขายของเล่นที่ดีนั้น จะต้องมีการแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าด้วย เนื่องจากพ่อแม่บางคน ก็ไม่เข้าใจในเรื่องของการเลือกซื้อของเล่น ให้เหมาะสมกับอายุของเด็ก ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะทำให้พ่อแม่ท่านนั้น เสียเวลาในการซื้อและเสียเงินทิ้งเปล่าๆ ทางร้านจึงต้องแนะนำให้ลูกค้าด้วยความเต็มใจ ว่าของเล่นแบบไหน ที่เหมาะกับเด็กในช่วงวัยไหน

ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้น ที่เราควรจะเอามาพิจารณาในการเลือกซื้อของเล่น จากร้านขายของเล่นเด็ก ทุกร้าน ที่เราอยากจะเข้าไปใช้บริการ หากพิจารณาตามหลักทั้งสี่ข้อแล้ว ก็มั่นใจได้เลย ว่าเราได้ของเล่นที่ดี เหมาะสมกับลูกของเราและมีความปลอดภัยมากทีสุด จะได้ทั้งประโยชน์สำหรับเด็ก และความสบายใจของพ่อแม่ด้วยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องต่างๆ